รู้ลึกเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ความเสี่ยง การป้องกัน และการดูแลตัวเอง

การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก (Anal Sex) เป็นเรื่องที่พบได้ในหลายเพศ หลายอัตลักษณ์ทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นชายรักชาย (MSM) คู่ต่างเพศ หรือผู้ที่ต้องการลองประสบการณ์ทางเพศที่แตกต่าง แม้ว่าการมีเพศสัมพันธ์รูปแบบนี้จะสามารถสร้างความพึงพอใจ และความใกล้ชิดได้ แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และการบาดเจ็บมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด

เราจะพาคุณไปรู้ลึกถึง กลไกความเสี่ยง ที่เกิดขึ้น, วิธี ป้องกันที่ได้ผล, และแนวทาง ดูแลตัวเอง อย่างปลอดภัย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดอคติ และช่วยให้ทุกคนเข้าถึงเพศสัมพันธ์ที่มีความสุข และปลอดภัย

Love2test”></a></div>
<div class='code-block code-block-1' style='margin: 8px auto; text-align: center; display: block; clear: both;'>
<a href=“Quicky"
รู้ลึกเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ความเสี่ยง การป้องกัน และการดูแลตัวเอง

การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก (Anal Sex) คืออะไร?

การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก (Anal Sex) หมายถึง การสอดใส่อวัยวะเพศชาย นิ้วมือ หรืออุปกรณ์ทางเพศ (Sex Toys) เข้าไปในทวารหนักของคู่เพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นชายกับชาย ชายกับหญิง หรือบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ลักษณะนี้ถือเป็นกิจกรรมทางเพศที่พบได้ทั่วไปในหลายสังคม และทุกเพศสภาพ

ทวารหนักไม่เหมือนกับช่องคลอด เนื่องจาก ไม่มีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ และผนังเนื้อเยื่อบางกว่ามาก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดการฉีกขาด หรือบาดเจ็บได้ง่าย การฉีกขาดเล็กน้อยอาจไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถเปิดช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้

เหตุผลที่คนเลือกมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก

  • เพื่อความสุขทางเพศ และการตอบสนองทางอารมณ์
  • เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางเพศ โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)
  • การทดลองประสบการณ์ทางเพศใหม่ ๆ ระหว่างคู่รัก

ทำไมการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักจึงมีความเสี่ยงสูงกว่า?

  • โครงสร้างทางกายวิภาค
    • ผนังทวารหนักบางกว่าช่องคลอดมาก → ฉีกขาดง่ายเมื่อมีแรงเสียดสี
    • ไม่มีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ → เสี่ยงบาดเจ็บหากไม่ใช้เจลหล่อลื่น
  • ปริมาณเชื้อที่ถ่ายทอด
    • ทวารหนักมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก → เมื่อฉีกขาด เชื้อโรคสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง
    • น้ำอสุจิที่มีเชื้อเอชไอวี หรือเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถสะสมในทวารหนักได้ง่าย
  • ความเสี่ยงจากทั้งฝ่ายรุก และฝ่ายรับ
    • ฝ่ายรับ (receptive partner): เสี่ยงสูงสุด เพราะเยื่อบุฉีกขาดง่าย และสัมผัสสารคัดหลั่งโดยตรง
    • ฝ่ายรุก (insertive partner): เสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะหากมีแผลที่อวัยวะเพศ หรือไม่ได้ใช้ถุงยาง

ความเสี่ยงของการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก

การติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

ทำไมถึงเสี่ยงกว่าแบบอื่น?

“ChatLove2test"
  • เยื่อบุทวารหนักบาง และไม่มีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ จึงเกิดแผลถลอก/ฉีกขาดจิ๋ว (micro-tears)ได้ง่าย ทำให้ไวรัสผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้สะดวก
  • ภายในไส้ตรงมีเส้นเลือดฝอยหนาแน่น และเซลล์ภูมิคุ้มกันจำนวนมาก เชื้อจึงพบเป้าหมายได้ง่าย
  • น้ำอสุจิ และสารคัดหลั่งมีความเข้มข้นของไวรัสสูงกว่าสารคัดหลั่งบางชนิดอื่น

ใครเสี่ยงกว่ากัน?

  • ฝ่ายรับ (receptive partner; bottom) เสี่ยงสูงสุด เพราะเยื่อบุสัมผัสน้ำอสุจิโดยตรง และเกิด micro-tears ได้บ่อย
  • ฝ่ายรุก (insertive partner; top) ยังเสี่ยง (แม้ต่ำกว่า) โดยเฉพาะถ้ามีแผลที่ปลายองคชาต/หนังหุ้มปลาย หรือไม่ใช้ถุงยาง

ตัวแปรที่ทำให้เสี่ยงมากขึ้น

  • ไม่ใช้ถุงยาง/ใช้ไม่ถูกวิธี, ใช้สารหล่อลื่นไม่พอ
  • มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ร่วม (เช่น แผลซิฟิลิส/เริม) → เพิ่มโอกาสติดเชื้อเอชไอวี
  • ฝ่ายที่มีเชื้อ Viral load สูง (ยังไม่รักษา/กินยาไม่สม่ำเสมอ)

ตัวแปรที่ลดความเสี่ยงได้มาก

“PrEPLove2test"
  • ถุงยาง + สารหล่อลื่นสูตรน้ำ/ซิลิโคน (หลีกเลี่ยงน้ำมันกับลาเท็กซ์)
  • PrEP สำหรับผู้ไม่มีเชื้อที่มีความเสี่ยงต่อเนื่อง
  • PEP ภายใน 72 ชม. หลังเหตุการณ์เสี่ยง
  • คู่ที่มีเชื้อกินยาต้านไวรัส ART จน ตรวจไม่พบไวรัสต่อเนื่อง (U=U) → ไม่ถ่ายทอดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

ซิฟิลิส (Syphilis)

  • แผลริมแข็งในระยะแรกอาจอยู่บริเวณทวารหนัก/อวัยวะเพศ แล้วตามด้วยผื่นทั้งตัว
  • แผลเปิดทำให้ติด/แพร่ เชื้อเอชไอวีง่ายขึ้น
  • รักษาหายได้ด้วยเพนิซิลลิน ถ้าตรวจพบเร็ว

หนองในแท้ (Gonorrhea) & หนองในเทียม (Chlamydia)

  • ในทวารหนัก/ไส้ตรงมัก ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย (คัน แสบ มีมูกหนอง ท้องเสีย/ปวดเบ่ง) จึงพลาดการรักษา และแพร่เชื้อต่อได้
  • การตรวจที่แม่นยำควรใช้ NAAT และ เก็บตัวอย่างตามตำแหน่งเสี่ยง (คอ/ทวารหนัก/ทางเดินปัสสาวะ)

เริมอวัยวะเพศ (HSV-1/2)

  • ตุ่มน้ำใสแตกเป็นแผลเจ็บแสบใน/รอบทวารหนัก
  • แม้ไม่มีตุ่มก็ยังปล่อยเชื้อแบบเงียบ ได้เป็นช่วง ๆ (asymptomatic shedding)
  • ยาต้านไวรัสช่วยลดการกำเริบ และโอกาสแพร่เชื้อ แต่ไม่กำจัดเชื้อให้หายขาด

HPV (Human Papillomavirus)

  • สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ → หูดหงอนไก่ รอบทวารหนัก
  • สายพันธุ์เสี่ยงสูง (เช่น 16, 18) → ภาวะก่อนมะเร็ง/มะเร็งทวารหนัก (AIN/anal cancer) โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • วัคซีน HPV ลดความเสี่ยงได้มาก ควรฉีดตามช่วงวัย/ข้อบ่งชี้

ไวรัสตับอักเสบบี/ซี

  • ตับบี ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดี แนะนำให้ตรวจภูมิ และ ฉีดวัคซีน ถ้ายังไม่มี
  • ตับซี ติดต่อผ่านเลือดเป็นหลัก แต่การมีแผล/เลือดออกระหว่างกิจกรรมเพิ่มโอกาสได้

โปรคติไทส์/แผลอักเสบในไส้ตรง (Proctitis)

  • จากหนองใน/หนองในเทียมชนิด LGV (L1–L3), เริม, ซิฟิลิส → ปวดเบ่ง ถ่ายเป็นมูกเลือด ปวดทวาร
  • ต้องตรวจ และรักษาเฉพาะทาง (บางรายต้องคัดกรอง LGV เพิ่ม)

การบาดเจ็บทางกายภาพ

  • รอยฉีกขาด (anal fissure) และ เลือดออก จากแรงเสียดสี/การสอดใส่โดยไร้สารหล่อลื่นเพียงพอ
  • กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักบาดเจ็บ/เกร็งเจ็บ (spasm) → ปวดขณะถ่าย
  • รอยฟกช้ำ/ฝี/ติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิ ในคลองทวาร
  • สิ่งแปลกปลอมค้างคา (retained foreign body) หากใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีฐานกว้าง/ฟลาร์ → เสี่ยงต้องผ่าตัดเอาออก (สำคัญมากที่ sex toy ต้องมีฐานป้องกันการเลื่อนหลุดเข้าไปลึก)

ลดเสี่ยงบาดเจ็บอย่างไร

  • ใช้ ลูบหล่อลื่นมากพอ เติมซ้ำระหว่างกิจกรรม
  • ค่อย ๆ เพิ่มขนาด/ความลึก/ความเร็ว และสื่อสารตลอดเวลา
  • ใช้ sex toy ที่มีฐานกว้าง และวัสดุปลอดภัยต่อร่างกาย (body-safe)
  • หยุดทันทีหากเจ็บ แสบ หรือมีเลือดออก

ผลกระทบทางจิตใจ

  • ความกังวล/รู้สึกผิด หลังมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้ใช้การป้องกัน → อาจสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง
  • ความหวาดกลัวโรค ทำให้หลีกเลี่ยงการตรวจ ทั้งที่ยิ่งตรวจเร็ว ยิ่งรักษา/ป้องกันได้ดี
  • การตีตราตนเอง/จากสังคม ส่งผลต่อความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตทางเพศ

ดูแลใจควบคู่กาย

  • วางแผนการป้องกันล่วงหน้า (ถุงยาง+ลูบ, PrEP) เพื่อลดความกังวล
  • ตรวจสุขภาพทางเพศ ทุก 3–6 เดือน หากมีความเสี่ยงต่อเนื่อง
  • พูดคุยกับคู่เรื่องความยินยอม (consent) ขอบเขต ความชอบ และสัญญาณหยุด
  • หากกังวลมาก/มีประสบการณ์ไม่ดี → ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือเซ็กซ์เทอราพี
การดูแลตัวเองหลังมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก

การดูแลตัวเองหลังมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก

  • การทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
    • ใช้น้ำสะอาดล้างบริเวณภายนอกทันทีหลังเสร็จกิจ เพื่อชะล้างสิ่งสกปรก และลดการสะสมของเชื้อโรค
    • หลีกเลี่ยงการ สวนล้างแรง ๆ หรือใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์กัดผิว เพราะจะทำลายเยื่อบุทวารหนักซึ่งบอบบาง และเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ
    • หากต้องการสวนล้าง ควรใช้วิธีที่ปลอดภัย เช่น น้ำอุ่นปริมาณเล็กน้อย และไม่ทำบ่อยเกินไป
  • การสังเกตอาการผิดปกติ หลังจากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ควรเฝ้าระวังสัญญาณเตือน เช่น
    • มี แผล แสบ เจ็บ คัน หรือมีหนอง
    • มีเลือดออกโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • รู้สึกปวดเบ่ง หรือปวดท้องผิดปกติ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ หรือตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทันที
  • การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
    • ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงควร ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์ทุก 3–6 เดือน เช่น การตรวจเอชไอวี, ซิฟิลิส, หนองในแท้/หนองในเทียม, HPV
    • ควรตรวจ ตามตำแหน่งที่มีเพศสัมพันธ์ เช่น คอ, ทวารหนัก, ทางเดินปัสสาวะ เพื่อให้ผลแม่นยำ
    • การตรวจเป็นประจำช่วยค้นหาโรคได้เร็ว รักษาได้ทันท่วงที และลดการแพร่เชื้อ
  • งดมีเพศสัมพันธ์เมื่อมีอาการผิดปกติ หากมีอาการเจ็บ คัน มีตุ่ม แผล หรือมีหนอง ควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะตรวจ และรักษาเรียบร้อย สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปยังคู่นอน แต่ยังลดความเสี่ยงที่อาการจะรุนแรงขึ้น
  • การดูแลสุขภาพกาย และใจ
    • สุขภาพกาย: รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับเพียงพอ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
    • สุขภาพใจ: หากมีความกังวล กลัว หรือรู้สึกผิด ควรหากิจกรรมผ่อนคลาย หรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
    • การดูแลทั้งกาย และใจไปพร้อมกัน ช่วยให้เพศสัมพันธ์ไม่เป็นปัญหา แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่มีสุขภาวะทางเพศที่ดี

วิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

  • การใช้ถุงยางอนามัย
    • ใช้ ถุงยางอนามัยคุณภาพดี ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    • เลือกขนาดพอดีเพื่อป้องกันการแตก หรือหลุด
    • ควรเปลี่ยนถุงยางเมื่อเปลี่ยนคู่นอน หรือเปลี่ยนจากทวารหนักไปช่องคลอด
  • การใช้สารหล่อลื่น (Lubricant)
    • ใช้เจลหล่อลื่นสูตรน้ำ หรือซิลิโคน
    • หลีกเลี่ยงน้ำมัน โลชั่น วาสลีน เพราะทำให้ถุงยางเสียหาย
    • การใช้เจลช่วยลดแรงเสียดสี ลดการฉีกขาด และเพิ่มความสบาย
  • PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)
    • ยาป้องกันเอชไอวีก่อนเสี่ยง (PrEP) → ลดความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี ได้มากกว่า 90%
    • เหมาะสำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่ม MSM
  • PEP (Post-Exposure Prophylaxis)
    • ยาต้านไวรัสฉุกเฉินหลังเสี่ยง (PEP) → ต้องเริ่มภายใน 72 ชั่วโมง
    • ใช้เมื่อมีเหตุการณ์เสี่ยง เช่น ถุงยางแตก ไม่ได้ใช้ถุงยาง
  • วัคซีน
    • วัคซีน HPV → ป้องกันหูดหงอนไก่ และมะเร็งทวารหนัก
    • วัคซีนตับอักเสบบี → ลดความเสี่ยงการติดโรคตับ

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

PrEP กับ PEP ใช้ผิดเวลา เสี่ยงพลาด! มาเรียนรู้ความต่างกัน

ตรวจให้ชัวร์ รู้สถานะชัด คำตอบสำหรับการป้องกันเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ

การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักไม่ใช่เรื่องผิดหรือเรื่องต้องห้าม แต่เป็นพฤติกรรมทางเพศที่ต้อง เข้าใจความเสี่ยง และ ป้องกันอย่างถูกวิธี หากมีการดูแลตนเองที่ดี ใช้ถุงยาง เจลหล่อลื่น PrEP/PEP ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และฉีดวัคซีนที่จำเป็น ทุกคนก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และมีความสุขได้

เอกสารอ้างอิง

  • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS and Men Who Have Sex with Men. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/hiv/topics/msm
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Risk and Anal Sex. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/risk/analsex
  • UNAIDS. Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และแนวทางป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
  • สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย. คู่มือการป้องกันเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://thaiaidssociety.org

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า